วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

พุทธะอิสระนำโวย ‘ไทยมิใช่ทาส’ หน้าสถานทูตสหรัฐฯ หลังทูตออกมากังวล กฎหมายหมิ่นเบื้องสูง


27 พ.ย. 2558 มติชนออนไลน์ รายงานว่า พระพุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม และพล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร นำประชาชน มาแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ที่หน้า สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับท่าทีของนายกลิน ที. เดวีส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ที่ออกมาแสดงความคิดเห็นในลักษณะก้าวก่ายกิจการภายในของประเทศไทย
โดย พระพุทธะอิสระ ได้เผยแพร่จดหมายจากใจประชาชนคนไทย ถึงเอกอัครราชทูตอเมริกา ประจำประเทศไทย ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘หลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara)’ โดยระบุว่า จากพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่สถานทูต ตลอดจนเอกอัครราชทูตแต่ละคนที่เข้ามาทำหน้าที่ในแผ่นดินไทย พยายามเข้ามามีบทบาท แทรกแซง ชี้นำ วิพากษ์วิจารณ์ ต่อกิจการภายในของประเทศไทยในทุกเรื่อง ไม่เว้นแม้แต่เรื่องการออกกฎหมายที่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย
“หนำซ้ำยังออกมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง ไร้มารยาท ผิดปกติวิสัยมิตรที่ดีจะพึงมีต่อกัน ขาดการให้เกียรติ ไม่ยอมรับในความต่าง ดูถูกศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์และเหยียบย่ำอารยะธรรมของบรรพบุรุษไทย” พระพุทธะอิสระ  ระบุในจดหมาย
นอกจากนี้จดหมายยังระบุด้วยว่า พวกตนคนไทยมีความรู้สึกว่านี่ไม่ใช่พฤติกรรมของมหามิตรที่ดีที่กระทำต่อกัน แต่กลับทำประหนึ่งว่าประเทศไทยเป็นทาส เป็นเมืองขึ้นของสหรัฐ จะจิกหัวตำหนิติด่าตามความพอใจ โดยไม่เกรงใจ ไม่ให้เกียรติ ไม่ยอมรับในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ที่มีของชนชาติไทย
ประเทศสหรัฐโดยเอกอัครราชทูตและเจ้าหน้าที่ทูตประจำประเทศไทยพยายามจะใช้มาตรฐานของตนเองมาเปรียบเทียบกับประเทศไทย และมีเจตนาที่จะกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตามที่สหรัฐมุ่งหวัง ทั้งที่ไม่มีสิทธิ ไม่มีอำนาจ ไม่สมควร
“ท่านทูตสหรัฐต้องไม่ลืมว่าแผ่นดินไทย คนไทย มิได้เป็นทาสหรือเมืองขึ้นของสหรัฐ ประเทศสหรัฐไม่มีอำนาจมาบงการ แทรกแซง ชี้นำ หรือล้มล้างกฎหมายของแผ่นดินไทย โดยเฉพาะกฎหมายที่ว่าด้วยการคุ้มครองสถาบันหลักของชาติ ซึ่งพวกเราถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของความร่วมแรงรวมใจและความมั่นคงของชาติ” พระพุทธะอิสระ  ระบุในจดหมาย
สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสัญลักษณ์ของความศักดิ์สิทธิ์ ที่คนไทยทุกคนพร้อมที่จะอุทิศชีวิตเพื่อปกป้อง หากประเทศสหรัฐโดยสถานทูตมีความจริงใจที่จะดำรงรักษาเอาไว้ซึ่งความสงบสุขของชาติไทยและรักษาบรรยากาศของมิตรประเทศที่ดี ก็ควรจะเรียนรู้แล้วทำความเข้าใจว่า ชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์คือจิตวิญญาณของคนไทย จะขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้
การที่นายกลิน ที. เดวีส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลไทยอย่างรุนแรงทั้งที่เหยียบยืนอยู่ในแผ่นดินไทย ถือว่าเป็นการไม่ให้เกียรติมิตรประเทศ ผิดมารยาทของทูตที่ดีอันควรกระทำ อีกทั้งยังมาวิพากษ์วิจารณ์กฎหมายที่ปกป้องพระมหากษัตริย์ ผู้ซึ่งทรงเป็นประมุขของประเทศ ยิ่งเป็นการมิบังควร เป็นการเหยียดหยามทำลายจิตใจและศักดิ์ศรีของประเทศไทย
พระพุทธะอิสระ  ระบุในจดหมายอีกว่า พวกตนจึงต้องพากันมาร้องตะโกนบอกกับท่านทูตว่า อย่าเสียมารยาท ประเทศไทยมิใช่ทาสหรือเป็นเมืองขึ้นของสหรัฐที่คิดจะทำอะไรก็ได้ อย่ามาทำลายความเป็นมิตรประเทศด้วยการเข้าจุ้นจ้านแทรกแซงกิจการภายในของประเทศไทยอีกเลย อย่าพยายามใช้มาตรฐานของตนมาครอบงำข่มขู่บังคับให้ประเทศไทย คนไทย ต้องเปลี่ยนไปตามประเทศสหรัฐ ถ้าคุณทำก็เท่ากับคุณกำลังทำลายจิตวิญญาณของคนไทย พวกตนไม่ยินยอมแน่นอน
“หากคิดจะเป็นมิตรประเทศที่ดีต่อกันก็ควรจะยอมรับความต่างและให้เกียรติซึ่งกันและกัน และช่วยกันสร้างบรรยากาศของความร่วมมือ เพื่อให้มิตรประเทศอยู่ร่วมกันได้อย่างจริงใจ สันติ เจริญรุ่งเรือง” พระพุทธะอิสระ  ระบุตอนท้ายของจดหมาย
ทูตสหรัฐฯ กังวลกฎหมายหมิ่นเบื้องสูงไทย ชี้ไม่ควรถูกจำคุกฐานแสดงความเห็นอย่างสันติ
โดยเมื่อวันที่ 26 พ.ย. ที่ผ่านมา นายกลิน ที. เดวีส์  ได้แสดงความคิดเห็นต่อเรื่องนี้ ณ เวทีเสวนาที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศในกรุงเทพฯ ขณะที่การดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพพุ่งสูงขึ้น ภายใต้ปกครองของคณะรัฐประหาร โดยนายกลิน ที. เดวีส์  เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งได้ราวๆ 9 สัปดาห์ ย้ำว่ารัฐบาลสหรัฐฯ มีความเคารพอย่างยิ่งและรู้สึกชื่นชมพระมหากษัตริย์ไทย แต่ก็อ้างถึงสิทธิการแสดงความคิดเห็นอย่างอิสรเสรี “เราเชื่อว่าไม่ควรมีใครควรถูกจำคุกต่อการแสดงมุมมองอย่างสันติ และเราสนับสนุนอย่างหนักแน่นต่อความสามารถของบุคคลหรือองค์กรอิสระใดๆ ในการค้นคว้าวิจัยและรายงานประเด็นสำคัญๆ โดยปราศจากความกลัวว่าจะถูกแก้แค้น” (อ่านรายละเอียด)
พัฒนาการการเพิ่มโทษของ ม.112
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า การเพิ่มโทษในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 นี้ ถูกแก้ไขหลังเหตุการณ์ล้อมปราบนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในวันที่ 6 ต.ค. 2519 จากนั้นมีการรัฐประหารและต่อมาได้ออกคำสั่งให้แก้ไขประมวลกฎหมายดังกล่าวเป็นเพื่อเพิ่มโทษและมีการกำหนดโทษขั้นต่ำดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ว่า “มาตรา 112 ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี”
โดยที่ก่อนหน้านั้นมีโทษที่ต่ำกว่าที่เป็นอยู่ ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีพระราชกำหนดลักษณะหมิ่นประมาทด้วยการพูดหรือเขียนถ้อยคำเท็จออกโฆษณาการ รศ. 118 มาตรา 4 ซึ่งระบุโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับเป็นเงินไม่เกิน 1,500 บาท หรือทั้งจำและปรับ ต่อมาได้มีการจัดทำประมวลกฎหมายอาญาขึ้น ชื่อ "กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ.127" มาตรา 98 ระบุโทษไม่เกิน 7 ปี (ไม่มีอัตราโทษขั้นต่ำ) และปรับไม่เกิน 5,000 บาทด้วย หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในปี 2500 ได้จัดทำประมวลกฎหมายขึ้นใหม่ ชื่อ "ประมวลกฎหมายอาญา" ในมาตรา 112 กำหนดโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี (ไม่มีโทษปรับ) และล่าสุดที่มีการแก้ภายหลังเหตุการณ์ 6 ต.ค. 2519 จนกระทั่งมีการกำหนดโทษขั้นต่ำและเพิ่มโทษดังที่เป็นอยู่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น