วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

เตรียมนำศพผู้ต้องขังเสื้อแดงกลับบ้าน แม่วอนรัฐบาลช่วยนักโทษการเมือง


30 ธ.ค.55 ที่วัดสาครสุ่นประชาสรรค์ ย่านลาดพร้าว คนเสื้อแดงเป็นเจ้าภาพงานสวดอภิธรรมศพ นายวันชัย รักสงวนศิลป์ ผู้ต้องชังคดีเผาศาลากลางจังหวัดอุดรธานี ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำหลักสี่ และเสียชีวิตในเรือนจำเมื่อวันที่ 27 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยในวันพรุ่งนี้จะมีการเคลื่อนศพไปสวดอภิธรรมต่อที่ภูมิลำเนาจังหวัดอุดรธานี
ก่อนหน้าจะมีการตั้งศพที่วัน เวลาประมาณ 13.30 น.คนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งได้เดินทางพร้อมด้วยนางทองมา เที่ยงอวน มารดาของผู้เสียชีวิตไปร่วมรองรับศพนายวันชัยซึ่งตรวจพิสูจน์อยู่ที่สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ เบื้องต้น น.พ.สลักธรรม โตจิราการ ซึ่งเข้าร่วมผ่าชันสูตรศพนายวันชัยด้วย ได้แจ้งว่า เบื้องต้นมีแผลถลอกตามแขนขาเล็กน้อยและมีรอยฟกช้ำที่ศอกซ้าย เข้าได้กับประวัติการเล่นกีฬา ไม่มีรอยช้ำตามลำตัวหรือศีรษะ ไม่มีเลือดออกที่สมองและอวัยวะภายในอื่นๆ มีเพียงเส้นเลือดเลี้ยงหัวใจอุดตัน การตรวจชิ้นเนื้อของหลอดเลือดหัวใจเพื่อหาสาเหตุของเส้นเลือดหัวใจอุดตันว่าอุดตันเฉียบพลันหรือตีบมาก่อนแล้วและมากำเริบใหม่ ส่วนเรื่องสารพิษในอาหาร เลือดและปัสสาวะต้องรอผลอีก1-2 วันเป็นอย่างน้อย
นางทองมา มารดาของวันชัย กล่าวทั้งน้ำตาว่า รู้สึกเสียใจที่สุดกับเหตุการณ์นี้ แม้ไม่ติดใจเอาความ แต่อยากให้รัฐบาลช่วยเหลือนักโทษการเมืองให้ได้รับการประกันตัว หรือให้ได้ปล่อยออกมา ไม่ควรต้องถูกขังอย่างไม่รู้ชะตากรรม
“หวังอยากได้ลูกชายได้ออกมา แต่ตอนนี้ได้แต่ร่างไม่มีวิญญาณ ไม่อยากให้มีแบบนี้อีกแล้ว” นางทองมากล่าวและว่า จะนำศพกลับไปประกอบพิธีกรรมที่จังหวัดอุดรฯ และยังไม่เป็นแน่นอนว่าจะตั้งสวดกี่วัน และจะจัดพิธีฌาปนกิจศพเมื่อไร

นางทองมา มารดาของนายวันชัย
 
นางทองมากล่าวด้วยว่า วันชัยเป็นลูกชายคนเดียวในจำนวนลูก 3 คน และเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการหารายได้เลี้ยงครอบครัว เขาจบการศึกษาชั้น ป.6 มีอาชีพรับจ้าดายหญ้า และรับจ้างทั่วไป วันเกิดเหตุเขาดายหญ้าอยู่ที่สถานีตำรวจ ส่วนเธอรับจ้างเกี่ยวข้าวอยู่ในนา ทราบเรื่องอีกทีก็ตอนลูกชายโดนจับและถูกคุมขัง จากนั้นผ่านไปกว่า 1 ปีจึงได้รับการประกันตัวเมื่อวันที่ 16 ส.ค.54 ก่อนศาลจะพิพากษาในวันที่ 28 ต.ค.54 ให้จำคุก 20 ปี 6 เดือน พร้อมด้วยจำเลยคนอื่นๆ อีก 4 คน ซึ่งมีโทษลดหลั่นกันไป
นางทองมากล่าวอีกว่า สำหรับตนเองนั้นได้เปลี่ยนอาชีพมาเป็นกรรมกรก่อสร้าง เดินทางไปทำงานในจังหวัดสุราษฎร์ธานีกับลูกสาวได้ค่าจ้างคนละ 200 บาทต่อวัน และสามารถเดินทางมาเยี่ยมวันชัยได้เพียงเดือนละ 1 ครั้ง ครั้งล่าสุดวันชัยยังพูดคุยปกติ แม้จะมีโรคประจำตัวเป็นความดันโลหิตสูง เขายังบอกให้แม่สบายใจเพราะอยู่ที่นี่มีเพื่อน และเจ้าหน้าที่ก็น่ารัก
ขณะที่คนเสื้อแดงที่ร่วมในงานสวดอภิธรรมรายหนึ่งระบุว่า นำอาหารกลางวันไปเลี้ยงผู้ต้องขังทุกสัปดาห์ เจอวันชัยเป็นประจำ บุคลิกเป็นคนร่าเริง ขี้เล่น และมีน้ำใจ เขาจะลงมาหิ้วอาหารขึ้นไปให้เพื่อนๆ เสมอ และในช่วง 2-3 สัปดาห์ก่อนเสียชีวิต เขาบ่นว่ามีอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่ค่อยสะดวก ส่วนการเสียชีวิตนั้นเกิดขึ้นหลังจากทางเรือนจำจัดการแข่งขันกีฬาส่งท้ายปีซึ่งนายวันชัยก็ได้ร่วมเล่นกีฬาด้วย มีลักษณะปกติดี แต่หลังเสร็จสิ้นการแข่งขันไม่นานจู่ๆ วันชัยก็ล้มลงหมดสติ จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำตัวส่งโรงพยาบาลราชทัณฑ์
ด้านเว็บไซต์มติชน รายงานว่า นายสรสิทธิ์ จงเจริญ ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ กล่าวถึงผลการชันสูตรศพนายวันชัยว่า สาเหตุการเสียชีวิตเกิดจากระบบการหายใจและไหลเวียนโลหิตล้มเหลว ไม่พบร่องรอยการถูกทำร้าย ล่าสุดทางญาติไม่ได้ติดใจและจะนำศพกลับไปทำพิธีตามปกติ สำหรับผู้ต้องขังที่เสียชีวิตก่อนหน้านี้แม้จะมีสภาพร่างกายภายนอกดูแข็งแรง แต่ทราบจากมารดาผู้เสียชีวิตว่าก่อนหน้านี้ลูกชายเคยบอกว่ามีอาการแน่นหน้าอก มารดาจึงแนะนำให้แจ้งผู้คุมแต่ผู้เสียชีวิตไม่ได้บอกถึงอาการที่เป็น 
ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ กล่าวต่อว่า หลังการเสียชีวิตของผู้ต้องขังในเรือนจำทำให้อธิบดีกรมราชทัณฑ์สั่งกำชับให้ ดูแลสุขภาพของผู้ต้องขังอย่างใกล้ชิด โดยในส่วนของเรือนจำชั่วคราวหลักสี่จะมีพยาบาลเข้าไปตรวจร่างกายให้ผู้ต้องขังทุกคนสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ทั้งนี้ ผู้ต้องขังที่ต้องโทษคดีที่เกี่ยวข้องทางการเมืองถือเป็นกลุ่มผู้ต้องขังที่ต้องระมัดระวังเรื่องความเครียดเป็นพิเศษ เพราะเท่าที่พบผู้ต้องขังกลุ่มนี้มักมีอาการเครียดเรื่องคดีและเป็นกังวลเรื่องที่ไม่ได้รับการประกันตัว ทั้งที่ผู้ต้องขังคดีเดียวกันหลายรายได้รับการประกันตัวออกไปแล้ว โดยบางรายต้องให้จิตแพทย์เข้าไปพูดคุยเพื่อบำบัดอาการ 
สำหรับเรือนจำชั่วคราวหลักสี่ขณะนี้มีผู้ต้องขังทั้งสิ้น 21 คน ในจำนวนนี้เป็นหญิง 1 คน
ทั้งนี้ ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุม เมษา-พฤษภา53 ( ศปช.) ระบุด้วยว่า ในระหว่างเกิดเหตุการณ์เผาศาลากลาง วันชัยถูกเจ้าหน้าที่ทหารทำการจับกุมและทำร้ายร่างกายโดยการเหยียบและใช้ท่อนไม้กระแทกที่แผ่นหลัง ก่อนที่จะถูกแจ้งความดำเนินคดี ในข้อหา ร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์,บุกรุกสถานที่ราชการโดยมีอาวุธ,ทำให้เสียทรัพย์, ขัดขวาง เจ้าพนักงาน ฝ่าฝืน พรก.ฉุกเฉินฯ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ ยกฟ้องข้อหาทำให้เสียทรัพย์และขัดขวางเจ้าพนักงาน แต่ลงโทษข้อหาวางเพลิงอาคารศาลากลางหลังเก่า โดยให้จำคุก รวม  20 ปี 6 ด. และให้จำเลยร่วมกันชดใช้  57.7 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย7.5% /ปี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น