วันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

วิธีการผิดๆ ก่อความเสียหายหนักกว่า

ธงชัย วินิจจะกูล: วิธีการผิดๆ ก่อความเสียหายหนักกว่า
กล่าวกันมากว่าวิกฤตการเมืองรอบนี้ก่อความเสียหายทางเศรษฐกิจมากมายมหาศาล

           ความเข้าใจเช่นนี้คงไม่ผิดเสียทีเดียว แต่เรามักมองข้ามความเสียหายประเภทอื่นที่อาจหนักยิ่งกว่า เพราะความเสียหายทางเศรษฐกิจเป็นเรื่องเข้าใจง่าย ความเสียหายประเภทอื่นอาจเป็นนามธรรม วัดเป็นตัวเลขไม่ได้ จึงเข้าใจยากกว่า

             ถ้าความเสียหายทางเศรษฐกิจร้ายแรงขนาดวิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 ใช้เวลากว่า 10 ปีจึงฟื้นคืนสู่ปกติ  ความเสียหายทางเศรษฐกิจจากวิกฤตในขณะนี้น่าจะใช้เวลากอบกู้ไม่มากไปกว่า 10 ปี การเทียบเคียงง่ายๆเช่นนี้มิใช่ความประมาทหรือดูเบาให้ชะล่าใจ  แต่เพื่อชี้ให้เห็นว่ามีความเสียหายที่หนักกว่าเศรษฐกิจซึ่งต้องใช้เวลานานกว่ามากเพื่อกอบกู้กลับมา (ไม่รวมถึงการสูญเสียชีวิตพิการบาดเจ็บซึ่งสูงค่าจนเทียบกันไม่ได้)

วิธิการผิดๆ

          เรามองเห็นแต่คอรัปชั่นของนักการเมืองว่าเป็นต้นตอของโรคที่ทำประเทศชาติพินาศ ทั้งๆที่คอรัปชั่นอันหนักหน่วงกว่าอยู่ในระบบราชการโดยเฉพาะในกองทัพ เพราะไม่ใช่แค่กินตามโปรเจกต์หรือนโยบาย แต่กินกันในระบบเป็นปกติ ทำกันโจ๋งครึ่มมาหลายชั่วอายุคนโดยไม่มีรัฐบาลไหนกล้าแตะ ไม่ต้องกลัว ปปช. ไม่ต้องเกรงสื่อมวลชน กปปส.ก็ไม่แตะ แถมยังให้เกียรติเป็น “คนดี” เชิญมาช่วยปราบคอรัปชั่นเสียอีก

          เราก่นโคตรกลุ่มทุนเฉพาะรายว่าเป็นทุนสามานย์ แต่กลับยกเว้นและยกย่องกลุ่มทุนขนาดใหญ่กว่า ผูกขาดยิ่งกว่า ตรวจสอบไม่ได้ยิ่งกว่า นักวิชาการและ “ภาคประชาชน” ที่มีอคติได้ขนาดนี้ ถ้าไม่เป็นเพราะด้อยปัญญาก็ต้องเป็นเพราะไม่ซื่อตรงต่อสาธารณชน

            การปฏิรูปที่กำเนิดจากการหลอกลวง ไม่ซื่อตรง อคติเช่นนี้จะช่วยอะไรขึ้นมา เป็นข้ออ้างที่ฟังดูดีเพื่อชิงอำนาจ แต่ทำให้สังคมหลอกตัวเองหนักเข้าไปอีก

            การฉวยโอกาสดันทุรังผลักร่างกฎหมายที่ผู้คนค้านทั้งบ้านทั้งเมืองเพียงเพราะฝ่ายตนมีเสียงข้างมากในสภาเป็นการใช้อำนาจบาตรใหญ่ แถมใช้กลอุบายแบบฉ้อฉลฉวยโอกาส ต่อให้ชนะในสภาก็เป็นความพ่ายแพ้ทางการเมืองเพราะเป็นวิธีการที่ผิด ทั้งก่อให้เกิดการตอบโต้สุดเหวี่ยงแบบไม่สนใจความถูกผิดเช่นกัน

           ขบวนการโค่นทักษิณในขณะนี้ใช้วิธีการขู่กรรโชกบังคับขู่เข็ญขืนใจคนทั้งประเทศ ทั้งด้วยวาจาและด้วยกำลัง ทั้งโดยมีอาวุธโจ่งแจ้งและไม่โจ่งแจ้ง ใช้พฤติกรรมอันธพาลละเมิดกฎหมายอย่างเปิดเผยซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะมีพลังอภิชนหนุนหลังทั้งแผง คือผู้มีบารมี ผู้ถืออาวุธ ผู้มีทรัพย์ ชาติตระกูล และผู้มีการศึกษา ทั้งยังมีสื่อมวลชนจำนวนมากและกระบวนการยุติธรรมให้ท้าย

คนเหล่านี้รู้ดีว่า ในสังคมที่ผู้คนไม่เท่าเทียมกัน อำนาจกฎหมายต้องยอมสยบต่อพลังอภิสิทธิ์ของตน

นี่เป็นการกระทำที่ผิดมหันต์ แต่อภิชนผู้สนับสนุนกลับช่วยกันฟอกจนกลายเป็นวีรกรรม

          นับแต่ก่อนรัฐประหาร 2549 เราใช้วิธีการผิดๆที่ท่วมท้นด้วยอคติเพื่อเอาชนะกัน ทำทุกวิถีทางรวมทั้งทำลายระบบการเมืองประชาธิปไตยที่สร้างขึ้นมาด้วยชีวิตของคนจำนวนไม่น้อย

            หลักนิติธรรมที่ใช้เวลานานหลายชั่วคนค่อยๆสร้างสมปรับปรุงกันขึ้นมาถูกบิดเบือนเฉไฉ กระบวนการยุติธรรมใช้อำนาจเกินขอบเขต ตัดสินด้วยเหตุผลประหลาดนอกหลักกฎหมาย ไม่คงเส้นคงวา บ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของตนเอง แถมวางบรรทัดฐานแบบอย่างผิดๆหลายประการแก่กระบวนการยุติธรรม

         บรรทัดฐานและจรรยาบรรณของวิชาชีพหลายอย่างถดถอยจนถูกทำลาย ที่สำคัญคือสื่อมวลชนที่ทำตัวเป็นแค่โฆษณาชวนเชื่อ นักวิชาการและวิชาชีพที่เคยน่าเคารพก็เผยมิจฉาทิฐิคิดว่าตนเองวิเศษกว่าและควรมีอภิสิทธิ์เหนือผู้อื่น ทิ้งปัญญาหันพึ่งแต่วาทศิลป์ ถูกความโกรธเกลียดครอบงำจนละเลยจรรยาบรรณวิชาชีพ

       หลักสิทธิมนุษยชนที่ใช้เวลาหลายสิบปีพัฒนาจนเป็นคุณค่าที่สังคมยอมรับก็ถูกเฉไฉเลือกใช้อย่างไร้หลัก กลายเป็นเรื่องตลกขบขันที่ผู้คนไม่เชื่อถืออีกต่อไป

         ไม่น่าเชื่อว่าสังคมไทยสูญสามัญสำนึก เกิดวิปลาสกลับตาลปัตร จนมาถึงจุดที่สามารถขัดขวางมุ่งล้มการเลือกตั้งได้เปิดเผยในนามของประชาธิปไตย ทำร้ายร่างกายและใช้อาวุธได้ในนามของสันติอหิงสา ศาลให้ความคุ้มครองอันธพาลและจำกัดอำนาจตำรวจตามที่อันธพาลร้องขอ  สื่อมวลชนที่ปลุกให้คนเกลียดชังกันอย่างรุนแรงได้รับรางวัลจากสถาบันผลิตนักสื่อสารมวลชน อธิการบดีอยากให้หยุดการเรียนการสอนแต่นักศึกษาไม่อยากหยุดแถมเตือนอธิการบดีว่าไม่ควรยุ่งการเมือง ฯลฯ  อีกมาก


วิธีการผิดๆเหล่านั้นไม่ช่วยแก้ปัญหาสักนิด กลับยิ่งทำให้เราตกต่ำถลำลึกวิปลาสหนักขึ้น
(โปรดฟังอีกครั้ง) ทำไมต้องประชาธิปไตย

           เราควรเลิกพูดกันเสียทีว่า “ประชาธิปไตยเป็นระบบที่เลวน้อยที่สุด” คำกล่าวเช่นนั้นฟังดูเหมือนฉลาด แต่ที่จริงเป็นการแสดงความโง่เพราะเป็นคำกล่าวที่ไม่มีสาระ ไม่ช่วยให้เข้าใจอะไรขึ้นมาแม้แต่นิดเดียว

          ประชาธิปไตยเป็นระบบการเมืองที่พึงปรารถนาเพราะเป็นวิธีจัดความสัมพันธ์ทางอำนาจอันจำเป็นสำหรับสังคมซึ่งเจริญขึ้นมากจนหลากหลายซับซ้อน คนดีทั้งหลายก็คิดไม่เหมือนกันหรือมีผลประโยชน์สอดคล้องกันอีกต่อไป ครั้นคนดีเหล่านั้นต่างตระหนักในสิทธิและอำนาจของตนที่มีเท่าๆกับคนอื่น ในภาวะเช่นนี้สังคมจึงต้องการระบบและกติกาเพื่อให้คนที่คิดต่างกันผลประโยชน์ต่างกันมาต่อสู้ต่อรองกันได้อย่างสันติ โดยคนข้างมากตัดสินเลือกความคิดและข้อเสนอที่เขาเห็นด้วยต้องการ ณ เวลาหนึ่งๆ

          ระบบการเมืองแบบนี้อาจไม่สามารถแก้ปัญหาใหญ่ๆที่ซับซ้อนได้ในเวลารวดเร็วฉับพลัน มิใช่เป็นเพราะระบบเลว แต่เป็นเพราะประชากรในสังคมหนึ่งๆแตกต่างกันเสียจนหาข้อตกลงได้ยาก ไม่มีใครถูกใจได้ตามที่ต้องการไปหมด ยิ่งไปกว่านั้นเสียงข้างมากอาจเลือกผิดพลาดหรือต้องใช้เวลากว่าจะเรียนรู้ แต่ระบบการเมืองแบบนี้ก็ประกันว่าความเสียหายอันเกิดจากการเลือกผิดจะถูกจำกัด ทั้งเพราะคนข้างมากเรียนรู้ได้ และที่สำคัญเป็นเพราะทางเลือกหนึ่งๆเหมาะสมกับเวลาหนึ่งเท่านั้น ไม่มีทางเหมาะสมกับทุกเวลาทุกท้องที่

           ระบบวิธีการอื่นๆที่ฝากชะตาชีวิตของคนจำนวนมากไว้กับอภิสิทธิชนผู้อ้างว่ารู้ดีไม่กี่คนกลับเสียหายหนักกว่าเพราะผู้รู้ดีล้วนเป็นแค่ปุถุชนที่เป็นตัวแทนของความคิดและผลประโยชน์อย่างหนึ่งแค่นั้นเอง

           ประชาธิปไตยไม่มีสังคมในฝันหรือยูโทเปียสวยหรู เพราะอุดมคติของประชาธิปไตยคือการแบ่งอำนาจ กระจายอำนาจ และการใช้อำนาจตามวิธีการที่ถูกต้องเพื่อให้สังคมปรับตัวเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆไม่รู้จบ

ประชาธิปไตยเป็นอุดมคติของ “วิธีการ” (means) ไม่ใช่อุดมคติของจุดหมาย (end)

          การใช้วิธีการผิดๆจึงไม่มีทางสร้างสังคมประชาธิปไตยได้ เพราะขัดกับความมุ่งหมายและสาระสำคัญของประชาธิปไตยอย่างถึงรากฐาน

         ประชาธิปไตยจึงไม่ใช่ระบบที่เหมาะกับสังคมฝรั่งแต่ไม่เหมาะกับสังคมไทยอย่างที่นักวิชาการตื้นเขินมักกล่าว แต่เป็นประสบการณ์ร่วมของมนุษยชาติที่ต้องการระบบและกติกาที่เป็นธรรมมาต่อรอง ได้เสีย แพ้ชนะกันอย่างสันติและปรับตัวได้เป็นระยะโดยความเสียหายต่ำที่สุด

         ผู้ที่คิดว่าประชาธิปไตยไม่เหมาะกับสังคมไทยก็เพราะเข้าใจผิดคิดว่าสังคมไทยยังไม่เจริญ ไม่หลากหลาย คิดว่าความขัดแย้งเป็นสิ่งไม่ดีที่กำจัดได้ คิดว่าผลประโยชน์ของคนชาติเดียวกันควรเหมือนกันและยังทำให้ผู้คนคิดเหมือนๆกันได้ คนพวกนี้ชอบอ้างว่ารู้จักประชาธิปไตยที่ถูกต้องสมบูรณ์ แต่คิดว่าผู้คนยังโง่งมเกินกว่าจะเข้าใจประชาธิปไตยได้ จึงต้องมีผู้รู้คอยจูงให้เดินตาม ความคิดเหล่านี้เหลวไหลทั้งเพ

         ประชาธิปไตยเป็น “วิธีการ” จัดสรรอำนาจ ไม่ใช่วิชาความรู้ การถือเอาความด้อยการศึกษาหรือความจนเป็นเหตุผลเพื่อปฏิเสธสิทธิทางการเมืองของทาส ผู้หญิง ชนกลุ่มน้อย คนจน ฯลฯ ล้วนเป็นแค่ทัศนะเก่าๆที่คนทั่วโลกเลิกใช้ไปนานแล้วเพราะน่าขยะแขยงเกินกว่าอารยชนพึงเก็บเป็นขยะในสมอง (นี่คือเหตุผลที่นักข่าวต่างประเทศไม่สามารถเข้าใจความคิดแบบไทยๆได้)

          ระบบการเมืองประชาธิปไตยจึงต้องการองค์ประกอบที่สำคัญ ได้แก่ หนึ่ง...การกระจายอำนาจเพื่อให้ผู้คนที่เท่าเทียมกันได้ใช้อำนาจเลือกและคอยตรวจสอบตามกรอบกติกาอย่างกว้างขวางที่สุด สอง...กระบวนการยุติธรรมยึดมั่นในวิธีการที่เที่ยงธรรมเพื่อแก้ไขความขัดแย้งอย่างน่าเชื่อถือไม่มีอคติ สาม...ข่าวสารข้อมูลความรู้สาธารณะที่โปร่งใสและหลายด้านและเสรีภาพในการแสดงความคิด เพื่อให้ผู้คนมีข้อมูลและคิดได้หลากแง่มุม ประกอบขึ้นเป็นทางเลือกเพื่อการตัดสินใจอย่างเป็นตัวของตัวเอง

          ประชาธิปไตยอนุญาตให้ผู้คนที่แตกต่างกันมีส่วนร่วมระหกระเหินไปด้วยกันโดยมีกติกาเพื่อให้ต่อสู้ต่อรองกันอย่างสันติ มีกฎหมายกระบวนการยุติธรรมเป็นกลไกป้องกันการละเมิดกติกาเพื่อจะได้ไม่ต้องใช้ความรุนแรงตัดสินปัญหา และมีข้อมูลความรู้ความคิดสาธารณะเพื่อการตัดสินใจและเพื่อการเรียนรู้ไปด้วยกัน เหล่านี้เป็นปัจจัยร่วมที่จำกัดความเสียหายให้อยู่ในระดับที่น้อยที่สุด
เราจะหยุดความเสียหายได้อย่างไร

           วิกฤตคราวนี้ยิ่งลุกลามเป็นเพราะวิธีการผิดๆไม่มีทางล้างผิดให้เป็นถูก มีแต่ยิ่งออกนอกลู่นอกทาง เละเทะทับถม จมปลักหนักเข้าไปอีก การทำลายระบอบประชาธิปไตย(ที่ไม่ทางสมบูรณ์) กระบวนการยุติธรรม และสื่อมวลชนจนพิการอ่อนแอ ไม่มีทางเป็นพื้นฐานแก่การสร้างสังคมประชาธิปไตยขึ้นมาใหม่ ไม่มีทางเป็นจุดเริ่มของการปฎิรูป แต่จะเป็นจุดเริ่มของความตกต่ำของอารยธรรมไทยอย่างแน่นอน

ความเสียหายทางเศรษฐกิจมหาศาลกลับไม่อาจเทียบได้เลยกับความเสื่อมถอยพังพินาศของระบอบประชาธิปไตย กระบวนการยุติธรรม วิชาชีพสื่อมวลชนและสังคมไทยนับแต่ปี 2549

           เราไม่รู้เลยว่าความเสียหายประเภทนี้จะฟื้นได้ขนาดไหน เมื่อไร และในระหว่างนั้นจะเกิดวิกฤตเกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจและสูญเสียชีวิตกันอีกกี่ยก เพราะระบบการเมืองอ่อนแอไร้ประสิทธิภาพไปเสียแล้ว กระบวนการยุติธรรมไม่อาจเป็นที่พึ่งได้เสียแล้ว และสื่อมวลชนเป็นยาพิษทางปัญญาไปแล้ว

             การใช้วิธีการผิดๆก่อผลเสียหายสาหัสกว่าและฟื้นยากกว่าความเสียหายทางเศรษฐกิจมาก

ไม่กี่วันมานี้ มีผู้หลักผู้ใหญ่เรียงหน้าออกมาทีละคนราวกับนัดหมายกัน เสนอให้ใช้วิธีการผิดๆเป็นทางออกอีก แทนที่จะหยุดถือหางแก้ต่างให้ขบวนการคิดสั้น แล้วแนะนำให้หยุดต่อสู้ด้วยวิธีการผิดๆเสียที

            เราอาจมีความคิดความเชื่อต่างกัน อาจมองปัญหาเดียวกันไปคนละทาง อาจมีความฝันต่ออนาคตและหนทางสู่ความฝันนั้นๆไม่เหมือนกัน แต่เราต่างมีสติปัญญา รู้จักผิดชอบชั่วดีและจรรยาบรรณหลักการของวิชาชีพดีพอว่าอะไรที่ไม่ควรละเมิด อะไรคือการแถไถข้างๆคูๆอย่างน่าละอายเพื่อเอาชนะกัน

            เราท่านคงรู้ตัวทุกครั้งที่ละเมิดหลักการกติกาจรรยาบรรณ แต่เราท่านคงคิดว่าจำต้องทำเพื่อช่วยธรรมให้ชนะอธรรม ทว่าธรรมะบรรลุได้ด้วยมรรควิธีที่ถูกต้องเท่านั้น มิใช่ด้วยมรรคที่สุดโต่งหรือผิดๆ เราท่านมักไม่คิดไกลๆว่าการทำเช่นนั้นก่อความเสียหายขนาดไหนต่ออนาคต เกิดบรรทัดฐานผิดๆ แบบอย่างผิดๆ ค่านิยมผิดๆที่ต้องใช้เวลาอีกนานเพื่อต่อสู้ให้เข้ารูปเข้ารอย การใช้วิธีที่ผิดหนึ่งครั้งหมายถึงถอยหลังออกห่างจากอนาคตที่จะมีระบบหลักการเข้มแข็งออกไปอีกทุกครั้ง

เราอยากเห็นสังคมดีขึ้นเพื่อลูกหลานของเรา อนาคตที่ดีไม่เคยเกิดจากวิธีการผิดๆ แม้ว่าจะใช้โดยคนดีวิเศษหรือเป็นประชาธิปไตยมากขนาดไหนก็ตาม อนาคตที่ดีสร้างด้วยความอดทน เชื่อมั่นว่าในระยะยาวๆ ระบบต่างๆที่จำเป็นจะสั่งสมประสบการณ์ร่วมของคนจำนวนมากและพัฒนาเติบโตได้

           ท่านผู้หลักผู้ใหญ่คนดีทั้งหลาย ท่านตุลาการศาลทั้งหลาย ท่านบรรณาธิการและผู้มีส่วนในสื่อมวลชนทุกฝ่ายทุกประเภท ท่านทั้งหลายอีกมากมายที่กำลังต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย โปรดฉุกคิดสักนิดว่าการช่วยฝ่ายธรรมะด้วยวิธีที่ผิดทุกครั้งเป็นการทำร้ายลูกหลานของท่านเอง

ชัยชนะระยะสั้นๆคือความพ่ายแพ้ของทุกฝ่ายในอนาคต โปรดคิดถึงอนาคตกันดีกว่า

โปรดตระหนักว่าอนาคตที่ดีไม่เคยเกิดจากวิธีการผิดๆ ไม่ว่าในนามอุดมคติชนิดไหนก็ตาม


           ท่านมีโอกาสกระทำการเพื่อยุติวิกฤตในปัจจุบันได้ ไม่ใช่ด้วยการเลือกข้างคนดีแต่ใช้วิธีการที่ผิด แต่ด้วยการยืนหยัดไม่ใช้วิธีการที่ผิดๆในการต่อสู้ตามความเชื่อของท่าน คอรัปชั่น คนเลว หรือระบอบชั่วร้ายต้องถูกจัดการโดยวิธีการที่ถูกต้องจึงจะสร้างทั้งระบบ บรรทัดฐาน และความถูกต้องไปพร้อมๆกัน

           ท่านมีโอกาสยุติความเสียหายเพราะวิธีการที่ผิดๆได้ หากท่านเห็นแก่อนาคต ประวัติศาสตร์จะจารึกชื่อและความกล้าหาญของท่านไว้อย่างน่าภาคภูมิใจไปอีกหลายชั่วคน

อย่าให้ลูกหลานต้องพบชื่อของท่านบันทึกในประวัติศาสตร์อย่างตรงกันข้ามเลย

ขบวนชาวนาเคลื่อนเข้ากรุง - ชัชชาติเจรจาอย่าปิดสุวรรณภูมิ

ขบวนชาวนาเคลื่อนเข้ากรุง - ชัชชาติเจรจาอย่าปิดสุวรรณภูมิ
กลุ่มชาวนาภาคเหนือตอนล่างเคลื่อนขบวนอีแต๋นเข้า กทม. ทวงค่าข้าว ชัชชาติ สิทธิพันธุ์-ยรรยง พวงราช รุดเจรจาที่บางปะอินขอร้องอย่าปิดสุวรรณภูมิ ส่วน "เครือข่ายชาวนาไทย" เตรียมไปชุมนุมกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ด้าน จนท.ธกส.โคราช ตะโกนขับไล่คนเอาเงินมาฝากธนาคาร จนเกิดมีปากเสียงกัน
ขบวนอีแต๋นมุ่งหน้าเข้ากรุง-ชัชชาติรุดเจรจา ที่ปรึกษาพรรคร่วมฯ ยันมาทวงค่าข้าวเท่านั้น
21 ก.พ. 2557 - มีรายงานว่า ตั้งแต่เวลา 10.00 น. เมื่อวานนี้ (20 ก.พ.) "ขบวนกองทัพชาวนาภาคเหนือตอนล่าง" จากพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางตอนบนได้แก่ จ.อุทัยธานี ชัยนาท นครสวรรค์ มีนายชาดา ไทยเศรษฐ อดีต ส.ส.อุทัยธานี พรรคชาติไทยพัฒนาร่วมมากับขบวนด้วย ได้เคลื่อนรถอีแต๋นพร้อมขบวนรถสัมภาระในการปรุงอาหาร รถบัสสุขาเคลื่อนที่ของเทศบาลเมืองอุทัยธานี และรถปิคอัพบรรทุกชาวนาเข้า กทม. เพื่อเข้าไปชุมนุมเรียกร้องเงินในโครงการรับจำนำข้าว
ทั้งนี้ สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์ รายงานว่า ขบวนรถชาวนาเคลื่อนตัวออกจากอำเภออินทร์บุรี มาถึง อ.เมือง จ.สิงห์บุรี บนถนนสายเอเชียในช่องทางขาเข้า ผ่านหลักกิโลเมตร ที่ 75 หน้าวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสิงห์บุรี มุ่งหน้าเข้า กทม.คาดว่าจะถึงในค่ำวันนี้ เนื่องจากขบวนค่อยๆ เคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ และมีการหยุดพักระหว่างทาง ประกอบกับขบวนรถยาวประมาณ 3 กิโลเมตร ระหว่างทางมีประชาชนส่งเสียงคอยให้กำลังใจ ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงต้องปิดทั้งข่องทางขาขึ้นเป็นช่วงๆ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน หลายคนเลี่ยงไปใช้ถนน 309 สิงห์บุรี - อ่างทอง หลีกเลี่ยงขบวนชาวนา โดยสถานการณ์เป็นไปด้วยความเรียบร้อย
ขณะที่นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่าได้คุยกับนายชาดาแล้ว วัตถุประสงค์ของผู้ชุมนุมคือมายื่นหนังสือถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้เร่งพิจารณาการจ่ายเงินค่าจำนำข้าวที่ติดค้างอยู่ เพราะมีการรับปากโดยผ่านทางนายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าจะมีการจ่ายเงินเมื่อ 31 ม.ค. แต่ก็ยังไม่ได้รับเงิน
ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม ระหว่างเจรจากับชาวนาภาคเหนือตอนบนที่หมวดการทางบางปะอิน เมื่อวันที่ 20 ก.พ. ที่ผ่านมา (ที่มาของภาพ: วอยซ์ทีวี)
ทั้งนี้นายยรรยง พวงราช รมช.พาณิชย์ พร้อมด้วย นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม ได้เดินทางมาเจรจากับนายชาดาที่บริเวณจุดบริการประชาชน หมวดการทางบางปะอิน ถ.สายเอเชีย อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยาด้วย โดยวอยซ์ทีวีเปิดเผยรายละเอียดการเจรจาว่า นายชัชชาติขอความร่วมมือกลุ่มชาวนาไม่ไปชุมนุมที่สนามบินสุวรรณภูมิ
"เครือข่ายชาวนาไทย" เตรียมขยายพื้นที่ชุมนุมไปกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์ รายงานด้วยว่า นายระวี รุ่งเรือง ประธานเครือข่ายชาวนาไทย เปิดเผยเมื่อวันที่ 20 ก.พ. ว่า กลุ่มชาวนายังคงยืนยันจุดยืนเดิม ที่ต้องการได้รับความชัดเจนจากรัฐบาลในการชำระเงินค่าข้าวโครงการรับจำนำ ซึ่งจากการหารือร่วมกับแกนนำล่าสุด จะกำหนดให้รัฐบาลนำเงินค่าข้าวมาจ่ายให้กับชาวนาให้ได้ภายใน 7 วันนี้ หรือไม่เกินวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2557 ที่เป็นวันสิ้นสุดของโครงการรับจำนำข้าวฤดูการผลิต 2556/2557 โดยหากรัฐบาลยังไม่ให้ความชัดเจน และทยอยจ่ายเงินค่าข้าวให้กับชาวนาทั้งหมดก่อนสิ้นสุดโครงการ จะทำให้ชาวนาได้รับความเดือดร้อนมากขึ้น และอาจทำให้ชาวนาบางส่วนต้องยอมขายข้าวราคาถูก หรือลดราคาลงมาถึงตันละ 5 พันบาท ให้กับโรงสี เพราะไม่สามารถรอเงินจากรัฐบาลได้ จากที่ก่อนหน้านี้โรงสียอมรับซื้อในราคาตันละ 8 พันบาท สำหรับการที่รัฐบาลได้ชำระค่าข้าวให้ชาวนาเพียงบางส่วนแล้ว แต่ได้ทยอยจ่ายในส่วนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือเท่านั้น ส่วนภาคตะวันตก 7 จังหวัด ซึ่งที่มูลค่าตามใบประทวน 5 พันล้านบาท และภาคกลางอีก 1 หมื่น 5 พันล้านบาท ยังไม่ได้รับการจัดสรรให้ได้รับเงินค่าข้าว
ส่วนความเคลื่อนไหวการชุมนุมของกลุ่มเครือข่ายชาวนาไทย ที่ปักหลักอยู่ที่กระทรวงพาณิชย์ ยังยืนยันว่า จะไม่เปิดให้ข้าราชการเข้ามาทำงานในกระทรวง โดยในวันพรุ่งนี้ (22 ก.พ.57) เวลาประมาณ 07.00 น. กลุ่มชาวนาบางส่วนจะเดินทางไปขับไล่และกดดันการทำงานของข้าราชการกระทรวงพาณิชย์ ที่ได้ย้ายสถานที่ทำงานชั่วคราวไปที่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ถนนรัชดาภิเษก โดยจะไปกดดันจนกว่าข้าราชการกระทรวงพาณิชย์จะหยุดทำงาน และจะมีการกำหนดท่าทีในการเคลื่อนไหวต่อไปอีกครั้ง
เจ้าหน้าที่ ธกส.โคราช ตะโกนขับไล่คนฝากเงิน จนเกิดมีปากเสียงกัน
พนักงาน ธกส. จ.นครราชสีมารายหนึ่งตะโกนขับไล่เพราะไม่พอใจที่มีผู้นำเงินมาฝากธนาคาร และต่อมาเกิดมีปากเสียงกับผู้มาฝากเงิน จนมีผู้เข้ามาห้ามปรามทั้งคู่ (ที่มาของภาพ: สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์)
สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์ รายงานด้วยว่า นอกจากนี้ ที่ จ.นครราชสีมา นายประเสริฐ จันทรรวงทอง อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วยนักธุรกิจ พ่อค้า คหบดี และประชาชนในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา ร่วมกันถือป้ายสนับสนุนรัฐบาล พร้อมยื่นหนังสือให้กำลังใจนายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผ่านทาง ดร.วินัย บัวประดิษฐ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ในการปฏิบัติหน้าที่และแก้ไขปัญหาให้กับเกษตรกร โดยเฉพาะชาวนา ก่อนที่นายประเสริฐ จันทรรวงทอง อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ร่วมกันเดินทางไปยังธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธกส.) สาขาจังหวัดนครราชสีมา เพื่อฝากเงินกับธนาคารเพื่อให้ธนาคารเกิดสภาพคล่อง สามารถนำเงินไปจ่ายให้กับชาวนาในโครงการรับจำนำข้าว
โดยขณะที่ประชาชนที่เดินทางนำเงินมาฝากเงินกับ ธกส. เพื่อช่วยเหลือชาวนา ได้มีเจ้าหน้าที่บางส่วนไม่พอใจ ตะโกนขับไล่จนเกิดการกระทบกระทั่งและด่าทอกัน ก่อนทั้ง 2 ฝ่ายจะแยกย้ายกัน
ด้านนายประเสริฐ จันทรรวงทอง อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า การเดินทางมาฝากเงินกับ ธกส.ในครั้งนี้ เป็นความร่วมมือกันระหว่างพ่อค้า คหบดี นักธุรกิจ และประชาชนในจังหวัดนครราชสีมา ที่ต้องการช่วยเหลือชาวนาและต้องการให้ ธกส.มีสภาพคล่องมากขึ้น ในการแก้ไขปัญหาให้กับชาวนา ทั้งนี้ ยอดงานที่นำฝากกับธนาคาร ธกส. ในวันนี้ น่าจะมีไม่ต่ำว่า 30 ล้านบาท ซึ่ง ธกส.ถือว่าเป็นธนาคารที่เกี่ยวข้องกับชาวนาโดยตรงและจะสามารถช่วยเหลือเกษตรกรได้อย่างทันท่วงที

ศรส.ทำหนังสือถึงศาลแพ่ง ถามแนวทางปฏิบัติตามคำสั่งศาล

ศรส.ทำหนังสือถึงศาลแพ่ง ถามแนวทางปฏิบัติตามคำสั่งศาล
            ศรส.ทำหนังสือถึงศาลแพ่ง ถามแนวทางปฏิบัติ 7 ข้อ พร้อมออกแถลงการณ์เตรียมยื่นอุทธรณ์คำสั่งฯ หวั่นเกิดการจัดการกันเอง เพราะ ศรส.ใช้กฎหมายไม่ได้
            20 ก.พ. 2557 ไทยรัฐออนไลน์ รายงานว่า ที่ศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บก.ปส.) ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในฐานะผู้อำนวยการ ศรส. แถลงกรณีศาลแพ่งมีคำพิพากษาเมื่อวานนี้ ให้รัฐบาลโดย ศรส. คงการใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินต่อไปได้ แต่มีเงื่อนไขสั่งการ 9 ข้อ ว่า ทำให้การปฏิบัติงานของ ศรส. เกิดการชะงักงัน และขาดความเข้าใจของผู้ปฏิบัติหน้าที่ ในฐานะผู้อำนวยการ ศรส. จึงมีหนังสือด่วนที่สุด ที่ ศรส 155 ลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2557 ขอหารือแนวทางปฏิบัติจากอธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่ง เพราะตนในฐานะผู้อำนวยการ ศรส. และเป็นจำเลยที่ 2 มีหน้าที่ควบคุมและสั่งการการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ทุกกระทรวง กรม ตามที่นายกรัฐมนตรีเป็นผู้มอบอำนาจให้ โดยขอความรู้จากอธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งและคณะผู้พิพากษา 5 ท่านที่เป็นผู้ตัดสินคดีความเมื่อวานนี้ รวม 7 ข้อ เพื่อขอทราบและหารือแนวทางปฏิบัติว่า คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลแพ่งดังกล่าว ศรส. จะต้องพึงปฏิบัติอย่างไร ในข้อเท็จจริงและสถานการณ์ ต่อไปนี้
ประมวลเหตุตำรวจปะทะผู้ชุมนุม
  • 1. ผู้ชุมนุมทางการเมืองปิดถนน สร้างบังเกอร์รอบทำเนียบรัฐบาล และใช้เป็นที่ซ่องสุมอาวุธเพื่อต่อต้านรัฐบาล กรณีดังกล่าวเข้าข่ายต้องห้ามพนักงานเจ้าหน้าที่เข้าสลายการชุมนุม ตามนัยคำสั่งของศาลแพ่งหรือไม่ และเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถเข้าจับกุมตัวผู้ต้องหาบางคนที่อยู่ในกลุ่มคนดังกล่าวตามหมายจับของศาลได้หรือไม่
  • 2. กรณีกลุ่มผู้ชุมนุมเข้าบุกยึดพื้นที่กระทรวงมหาดไทย ไล่ข้าราชการไม่ให้เข้าทำงาน มีการขโมยลักทรัพย์อาวุธปืนสงคราม เอ็ม 16 ที่เก็บไว้ในกระทรวงมหาดไทยออกไป และนายถาวร เสนเนียม โจทก์ในคดีนี้ ได้นำกำลังผู้ชุมนุมอีกกลุ่มหนึ่งเข้าไปช่วยปิดล้อมกระทรวงมหาดไทย และมีการยิงปืนเข้าใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค 7 ที่เข้าไปเจรจาขอให้กลุ่มผู้ชุมนุมออกไปจากกระทรวงมหาดไทย กรณีดังกล่าวคำสั่งของศาลแพ่งห้ามพนักงานเจ้าหน้าที่ตำรวจกระทำการใดบ้าง หรือให้กระทำการใดได้บ้าง หรือรวมว่ากรณีกระทรวงมหาดไทยเป็นการชุมนุมโดยสงบตามนัยที่ศาลแพ่งสั่งการ
  • 3. กรณีกลุ่มผู้ชุมนุมสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน ปิดถนนสายต่างๆ วางสิ่งกีดกั้นทำให้การจราจรติดขัด ถือว่าเป็นการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธตามนัยคำสั่ง หรือคำพิพากษาของศาลแพ่งหรือไม่ และจะให้พนักงานเจ้าหน้าที่ หรือตำรวจดำเนินการอย่างไร จึงจะไม่ฝ่าฝืนคำสั่งของศาลแพ่ง และหรือผู้ชุมนุมปิดถนนหมดทุกสาย ศาลจะให้สั่งการให้เจ้าหน้าที่จราจรทำอย่างไร
  • 4. กรณีมีผู้ชุมนุมกลุ่มหนึ่งประมาณ 300 คน ประกาศว่าจะไปยึดพื้นที่กระทรวงพลังงานคืนจากเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รักษาการณ์อยู่ในกระทรวงพลังงาน ศูนย์รักษาความสงบจะต้องปฏิบัติอย่างไรและหากเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ยินยอมให้เข้าไปในตัวอาคารและขัดขวางไม่ให้เข้ามายึดพื้นที่คืน กรณีดังกล่าวจะถือว่าเป็นการสลายการชุมนุมหรือไม่ และเจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไร จึงจะสอดคล้องกับคำสั่งห้ามของศาลแพ่ง รวมถึงศาลแพ่งจะนับว่ากลุ่มผู้ชุมนุมเหล่านั้นได้ชุมนุมโดยสงบ เปิดเผย ปราศจากอาวุธ ตามนัยคำสั่งศาลหรือไม่


  • 5. กรณีพระพุทธะอิสระ ปิดศูนย์ราชการฯ ถนนแจ้งวัฒนะ ห้ามข้าราชการเข้าไปทำงาน และวางบังเกอร์ปิดถนนโดยรอบ ถือว่าเป็นการชุมนุมตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญหรือไม่
  • 6. กรณี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำกลุ่ม กปปส. กับพวก นำผู้ชุมนุมไปปิดสถานที่ราชการต่างๆ เช่น สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เพื่อล่าตัวนายกรัฐมนตรี (ยกเว้นศาลรัฐธรรมนูญ ศาลยุติธรรม ศาลปกครอง และหน่วยงานในสังกัดกรุงเทพมหานคร) ข่มขู่ข้าราชการไม่ให้เข้าทำงาน สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนที่ต้องมาติดต่อราชการ ทั้งยังใช้ถ้อยคำพูดหยาบคาย กรณีเช่นนี้เป็นการชุมนุมโดยสงบและพึงกระทำได้ตามนัยความเห็นของศาลแพ่งหรือไม่อย่างไร
  • 7. วันนี้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประกาศนำผู้ชุมนุมไปบุกสถานที่ราชการ ศูนย์รักษาความสงบ และบริษัทเอกชน ถือว่าเป็นการใช้สิทธิโดยชอบตามกฎหมายหรือไม่เพียงใด และศูนย์รักษาความสงบจะต้องปฏิบัติอย่างไร จึงจะไม่เป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของศาลแพ่ง

          “หลายครั้งหลายหนที่กลุ่มผู้ชุมนุมที่ศาลแพ่งคุ้มครอง ได้ไปยึดสถานที่ราชการ ได้ทำร้ายข้าราชการ ได้ไล่ข้าราชการออกจากที่ทำงาน พวกผมซึ่งเป็นคนไทยคนหนึ่ง ไม่ใช่ในฐานะ ผอ.ศรส. ได้ไปกอบกู้ให้หน่วยงานได้เปิดทำงานได้แล้ว ศาลแพ่งมีคำสั่งเมื่อวานนี้ ถ้ากลุ่ม กปปส. นำกำลังคนเข้าไปยึดคืนเหมือนในอดีตที่ผ่านมา แล้วไปปราศรัยหน้ากระทรวงเรียกร้องประชาธิปไตย ท่านอธิบดีฯ และคณะที่สั่งคดี จะยอมรับไหมว่านั่นเป็นการชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ ซึ่งเจ้าหน้าที่เข้าไปเกี่ยวข้องไม่ได้” ผอ.ศรส. กล่าว
           นอกจากนี้ ผอ.ศรส. กล่าวว่า ในฐานะที่ตนเคยเป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มีความรักและเคารพสถาบันตุลาการเป็นอย่างยิ่ง แต่ไม่เข้าใจว่าเมื่อศาลแพ่งได้มีคำสั่ง 9 ข้อเมื่อวานนี้ ตนจะทำสิ่งที่ได้กล่าวมาแล้วได้หรือไม่ เพราะหากสั่งการไป เจ้าหน้าที่ตำรวจจะผิด โดยขอยกตัวอย่างว่า หากพรุ่งนี้นายสุเทพปิดทุกด่าน ปิดทุกแยกเพราะคำสั่งศาลเหมือนกับว่าทำได้ ตนต้องขอความรู้เพื่อจะได้นำไปปฏิบัติ และจะรู้คนเดียวไม่ได้ เพราะประเทศไทยเป็นของประชาชนคนไทยทั้ง 67 ล้านคน รู้อะไรต้องรู้เท่ากัน โดยหากศาลแพ่งตอบกลับมา ตนจะได้นำคำแนะนำของศาลมาสั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งระหว่างนี้พระพุทธะอิสระได้นำมวลชนไปที่โรงแรมเอสซีปาร์ค จะถือว่าเป็นการชุมนุมโดยสงบหรือไม่ รวมทั้งกลุ่ม กปปส. ได้ไปบุกที่อาคารชินวัตร 1-3 มีการปราศรัยโดยไม่ได้พูดถึงเรื่องการปฏิรูปการเมือง ซึ่งศาลจะนับว่าเป็นการชุมนุมโดยสงบ เปิดเผยหรือไม่
           “กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ และพวกผม ตัวผม ท่านนายกฯ ถึงแม้ศาลไม่สั่งห้าม เรื่องสลายการชุมนุมพวกผมไม่เคยสั่ง ศรส.ไม่เคยไปที่เวทีการชุมนุมแม้แต่ครั้งเดียวทั้ง 8 เวที และเหตุที่เกิดเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ไม่ใช่ ศรส.สลายการชุมนุม แต่ผู้ชุมนุมมาสลายตำรวจที่ถนนราชดำเนิน” ผอ.ศรส.กล่าว
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการแถลงข่าว ผอ.ศรส. ได้มอบอำนาจให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายของ ศรส. ไปยื่นหนังสือด่วนที่สุด ที่ ศรส 115 เรื่องขอทราบแนวทางการปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลแพ่ง ต่ออธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งแล้ว
ศรส.เล็งยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลแพ่ง หวั่นเกิดสุญญากาศ ประชาชนจัดการกันเอง
         อนึ่ง วันเดียวกัน ศรส. ออกแถลงการณ์ยืนยันว่า จะยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลแพ่งตามกฎหมายต่อไป นอกจากนี้ ศรส.ระบุถึงความกังวลใจที่จะไม่สามารถปฏิบัติภารกิจ  โดยเฉพาะส่วนที่เป็นสาระสำคัญตามที่กฎหมายกำหนดไว้ได้ เพราะคำพิพากษาของศาลแพ่งที่สั่งห้าม ศรส.ทั้ง 9 ข้อ พร้อมระบุว่า สภาวะเสมือนสูญญากาศที่ขาดการบังคับใช้กฎหมายเช่นนี้ มีความเสี่ยงสูงต่อการที่สังคมจะเพิ่มความขัดแย้งและความไม่สงบสุขมากขึ้นอีก หวั่นอาจเกิดการกระทบกระทั่งและเข้าจัดการกันเองได้ เพราะภาครัฐไม่อาจบังคับใช้กฎหมายได้ ซึ่งจะเป็นสภาวะที่ไม่พึงประสงค์เป็นอย่างยิ่ง 

“พานทองแท้” เชิญชวนประชาชน ร่วมบริจาคเงินช่วยเหลือตำรวจไทยผ่าน “กองทุนเยียวยาครอบครัวตำรวจ ที่เสียชีวิตและทุพพลภาพ จากการควบคุมฝูงชน” ของ สปศ


“พานทองแท้” เชิญชวนประชาชน ร่วมบริจาคเงินช่วยเหลือตำรวจไทยผ่าน “กองทุนเยียวยาครอบครัวตำรวจ ที่เสียชีวิตและทุพพลภาพ จากการควบคุมฝูงชน” ของ สปศท.

วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2557 go6TV – นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Oak Panthongtae Shinawatra (https://www.facebook.com/oakpanthongtae) โดยมีเนื้อหาดังนี้




ผมมีความคิดที่จะไปเปิดบัญชีชื่อ

"กองทุนเยียวยาครอบครัวตำรวจ ที่ต้องเสียชีวิตและพิการ จากการกระทำของม๊อบสุเทพฯ ซึ่งชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ และถูกต้องตามสิทธิขั้นพื้นฐานของรัฐธรรมนูญไทย" โดยมีวัตถุประสงค์ ตามชื่อของกองทุนฯนี้ครับ

แต่ปรากฏว่าในวันนี้ได้ทราบว่า สมัชชาปกป้องศักดิ์ศรีตำรวจไทย (สปศท.) ได้ไปเปิด "กองทุนเยียวยาครอบครัวตำรวจ ที่เสียชีวิตและทุพพลภาพ จากการควบคุมฝูงชน” โดยมีวัตถุประสงค์เดียวกัน

อยากให้ทุกท่านได้ดู คลิปที่ตำรวจพยายามจะเตะระเบิดที่ม็อบสุเทพฯปาใส่ แต่ไม่ทันเกิดระเบิดขึ้นเสียก่อนตามLink นี้ครับ

http://on.fb.me/1l016ry นาทีชีวิต ตำรวจเตะระเบิด บริเวณผ่านฟ้า 18 ก.พ. 2557

ผมดูแล้วรู้สึกสงสารตำรวจ ที่ต้องมาสละเลือดเนื้อและชีวิต สงสารครอบครัวลูกเมีย ที่ต้องมาสูญเสียพ่อซึ่งเป็นผู้นำครอบครัวไป จึงอยากเชิญชวนพ่อแม่พี่น้องที่เห็นใจตำรวจ ร่วมกันบริจาคเงินเข้ากองทุนเยียวยาครอบครัวตำรวจฯ ของสปศท. เลขที่บัญชีตามนี้ครับ

ธ.ออมสิน - 02011573424

ขอขอบพระคุณทุกท่าน ที่มีความห่วงใยและยินดีสละทุนทรัพย์ เพื่อดูแลครอบครัวตำรวจ ซึ่งก็เป็นลูกหลานไทยด้วยกันเองนะครับ และขอปิดท้ายโพสต์นี้ด้วยบทกลอน "จากใจ ตำรวจชั้นผู้น้อย" ที่ส่งต่อกันว่อนในโลกออนไลน์ตอนนี้แล้วกันครับ

สัตว์นรก...มันไล่ล่า...ฆ่าตำรวจ
กูเจ็บปวด...ด้วยคำสั่ง...ให้ตั้งแถว
ไร้ศาสตรา...รอลูกปืน...ยืนเป็นแนว
หวังคลาดแคล้ว...ใจหดหู่...ห้ามสู้มัน

ผู้พิทักษ์...ต้องถอยร่น...ถูกโจรล่า
ตายไม่ว่า...แต่นายเฉย...ถูกเย้ยหยัน
เมื่อตำรวจ...รอเป็นศพ...ก็จบกัน
อยากสู้มัน...แต่หมดสิทธิ์...กูผิดเอง

สัตว์นรก...มันมีเส้น...เห็นกันทั่ว
กูเหมือนรั้ว...ให้ยิงเอา...เข้าข่มเหง
หมดศักดิ์ศรี...โจรได้ใจ...ไม่หวั่นเกรง
มันอวดเบ่ง...รุกไล่ล่า...ไม่ปราณี

เพื่อนผู้จาก...ฝากวิญญาณ...ขอสานต่อ
กูไม่ท้อ...เพราะกูรัก...ในศักดิ์ศรี
ผู้พิทักษ์...ต้องกำจัด...สัตว์ผู้ดี
ผู้กดขี่...ขอจดจำ...ทุกค่ำคืน

เห็นร่างเพื่อน...ผู้จากไป...ใจกูเจ็บ
ไอ้สัตว์เทพ...มึงจงรู้...กูสุดฝืน
ตำรวจไทย...ยืนเป็นยาม...ห้ามใช้ปืน
หวังนายตื่น...รอคำตอบ...ขอบพระคุณ

Cr .....จากใจ ตำรวจชั้นผู้น้อย....

สามารถติดตามเพจของสมัชชาปกป้องศักดิ์ศรีตำรวจไทยได้ที่ :https://www.facebook.com/protectionpolis

ประมวลภาพประชาชนจำนวนมากร่วมไว้อาลัย พ.ต.ต.เพียรชัย ภารวัตร วีรชนตำรวจไทย ในงานสวดอภิธรรมศพคืนที่ 2

ประมวลภาพประชาชนจำนวนมากร่วมไว้อาลัย พ.ต.ต.เพียรชัย ภารวัตร วีรชนตำรวจไทย ในงานสวดอภิธรรมศพคืนที่ 2










            ซึ่งจะมีการสวดพระอภิธรรมศพไปจนถึงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ และจะมีพิธีพระราชทานเพลิงศพ ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ นี้ เวลา 16.00 น.

ขอขอบคุณภาพจากทีมงานเสื้อแดงระยอง

ประชาชนส่งดอกไม้ ให้กำลังใจตำรวจฮีโร่ ขอบคุณแทนคนไทยทั้งชาติ


ประชาชนส่งดอกไม้ ให้กำลังใจตำรวจฮีโร่ ขอบคุณแทนคนไทยทั้งชาติ









           ตำรวจขอขอบคุณกำลังใจจากภาคส่วนประชาชน ที่มาเยี่ยมให้กำลังใจ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์สะพานผ่านฟ้า ณ โรงพยาบาลตำรวจ

สำนักข่าวอิศรา กระบอกเสียงโจรใต้ มั่วอีกแล้ว

จตุพร พรหมพันธ์ ท้า ยุบสำนักข่าวหากเป็นจริง